พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว | |
---|---|
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว | |
พระนามเต็ม | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สูรสันตติวงศวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมาลย์ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยวิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุทธสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศล ประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณคุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษฏาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระนามเดิม | สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษย์บรมนราธิราช จุฬาลงกรณนาถราชวโรรส มหาสมมติขัตติยพิสุทธิ์ บรมมกุฎสุริยสันตติวงศ์ อดิศัยพงศ์วโรภโตสุชาติคุณสังกาศวิมลรัตน ทฤฆชนมสวัสดิ ขัตติยราชกุมาร |
พระราชสมภพ | วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ |
เสวยราชสมบัติ | วันเสาร์ ๒๓ ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช ๒๔๕๓ รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๑๖ ปี |
เสด็จสวรรคต | วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ รวมพระชนมพรรษา ๔๖ พรรษา |
พระโอรสธิดา | รวมทั้งสิ้น ๑ พระองค์ |
วัดประจำรัชกาล | ไม่มี (โปรดฯ ให้สร้างวชิราวุธวิทยาลัยขึ้นแทนวัดประจำรัชกาล) |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช ๒๔๕๓ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ รวมพระชนมพรรษา ๔๖ พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม ๑๖ ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน พระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ขึ้นแทน ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้วและการสร้างอารามในสมัยก่อนนั้นก็เพื่อบำรุงการศึกษาของเยาวชนของชาติ จึงทรงพระราชดำริให้สร้างโรงเรียนขึ้นแทน
พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างแล้วเสร็จเมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕ ประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินส่วนพระองค์ที่ทรงพระมหากรุณาพระราชทานไว้เป็นสมบัติของประชาชนเพื่อจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ แสดงสินค้าไทยแก่ชาวโลกเป็นครั้งแรกเพื่อบำรุงเศรษฐกิจและพาณิชยกรรมของประเทศ (แต่มิทันได้จัดก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน) และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าเมื่อเสร็จงานแล้วจะพระราชทานเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจแห่งแรกในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ในวันคล้ายวันสวรรคตของทุกปี วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ ณ สวนลุมพินีแห่งนี้ ในวันนั้นมีหน่วยราชการ หน่วยงานเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้าประชาชนจำนวนมากไปวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย ณ วชิราวุธวิทยาลัย อีกด้วย
ใน พ.ศ.๒๕๒๔ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก
สารบัญ |
[แก้] พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ
๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ (พ.ศ.๒๔๒๑-๒๔๓๐)
๒. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๔๒๓-๒๔๖๘)
๓. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง (พ.ศ. ๒๔๒๔-๒๔๓๐)
๔. จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (พ.ศ.๒๔๒๕-๒๔๖๓)
๕. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ (พ.ศ. ๒๔๒๘-๒๔๓๐)
๖. พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (พ.ศ.๒๔๓๒-๒๔๖๗)
๗. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย (พ.ศ.๒๔๓๕-๒๔๖๖) และ
๘. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๔๓๖-๒๔๘๔)
[แก้] พระคู่หมั้น พระมเหสี และพระสนม
๑. ม.จ.หญิงวัลลภาเทวี วรวรรณ พระคู่หมั้น ได้สถาปนาเป็น "พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี" แต่ภายหลังทรงถอนหมั้น และโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี"
๒. ม.จ.หญิงลักษมีลาวัณ (นามเดิม ม.จ.หญิง วรรณวิมล วรวรรณ) พระขนิษฐาของพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี หลังอภิเษกสมรส ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น "พระนางเธอลักษมีลาวัณ" แต่สุดท้ายประทับแยกกัน
๓. คุณเปรื่อง สุจริตกุล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งพระสนมเอกที่ "พระสุจริตสุดา"
๔. คุณประไพ สุจริตกุล (น้องของคุณเปรื่อง) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น "พระอินทราณี" พระสนมเอก ต่อมาได้รับสถาปนาพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี" ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า "สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา"
๕. คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น เจ้าจอมสุวัทนา และได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น "พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" ในที่สุด
[แก้] พระราชธิดา
รวมทั้งสิ้น ๑ พระองค์ ประสูติแต่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี คือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประสูติ ณ วันอังคารที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ (ก่อนหน้าพระองค์เสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว)ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง
[แก้] เหตุการณ์สำคัญ
พ.ศ.๒๔๓๖
- เสด็จฯไปทรงศึกษาด้านกฎหมาย อักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และวิชาการทหาร ที่โรงเรียนนายร้อยแซนเฮิร์สต์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๓๖ ขณะนั้นพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษา เป็นระยะเวลา ๙ ปี และได้เสด็จกลับจากอังกฤษผ่านสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
พ.ศ. ๒๔๔๗
- เสด็จเยือนเชียงใหม่ โดยขึ้นรถไฟไปลงที่ปากน้ำโพแล้วต่อเรือล่องแก่ง ผ่านเมืองตากขึ้นไปถึงเชียงใหม่และในการเสด็จฯเยือนเชียงใหม่นี้ได้มีการสถาปนาโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย และ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เมื่อ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ด้วย (ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือลิลิตพายัพ)
พ.ศ. ๒๔๕๒
- เสด็จฯเยือนเมืองสวรรคโลก ขณะที่ยังทรงเป็นสมเด็จพระยุพราช (ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง)
- เสด็จฯเยือนหัวเมืองปักษ์ใต้ ขณะที่ยังทรงเป็นสมเด็จพระยุพราช (ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือจดหมายเหตุเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ.๑๒๘)
พ.ศ. ๒๔๕๓
- ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย) —
- ยกฐานะโรงเรียนมหาดเล็ก เป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ต่อมาคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) —
- ตั้งกองเสือป่า ซึ่งเป็นรากฐานของกรมการรักษาดินแดน หรือ หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง ในปัจจุบัน—
- เกิดภาวะวิกฤติทางการเงินที่ธนาคารสยามกัมมาจล ทุนจำกัด จนต้องปลด ผู้จัดการธนาคารสยามกัลมาจล ที่เป็นคนไทยออกไป ฐานก่อความวุ่นวายทางการเงินของธนาคารโดยการปล่อยกู้ไม่รู้ประมาณ แล้วยึดสวนสาธารณะซึ่งเป็นที่ของ ผู้จัดการธนาคารสยามกัลมาจล เพื่อชำระหนี้ ก่อนให้ นาย ปี. ชวาซ์ ผู้จัดการแผนกต่างประเทศซึ่งเป็นฝรั่งปรัสเซีย (เยอรมนี) เข้าทำหน้าที่แทนโดยนำกำไรจากแผนกต่างประเทศ มาแซมทุนพอแก้ไขภาวะวิกฤตทางการเงินไปได้ —
พ.ศ. ๒๔๕๔
- ตั้งกองลูกเสือ เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๔๕๔ —
- จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ มีการเชิญราชวงศ์จากยุโรปและญี่ปุ่นให้เสด็จมาทรงร่วมการพระราชพิธีในกรุงสยาม นับเป็นการรับพระราชอาคันตุกะจำนวนมาก เป็นครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของประเทศ—
- ฝรั่งเอาเครื่องบิน (สมัยนั้นเรียกเครื่องเหาะ) มาบินครั้งแรกที่สนามม้าสระปทุม (สนามม้าราชกรีฑาสโมสร - สนามฝรั่ง) เมื่อ ๒๙ ธันวาคม ๒๔๕๔
- เกิดร.ศ. ๑๓๐ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหากไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จก็ต้องการลอบปลงพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๔ (นับอย่างใหม่ ปี พ.ศ. ๒๔๕๕)แต่สามารถจับกุมควบคุมสถานการณ์ได้
พ.ศ. ๒๔๕๕
- แปรสภาพกระทรวงโยธาธิการเป็นกระทรวงคมนาคม เมื่อ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕
- จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงยุติธรรมใหม่ แยกฝ่ายธุรการและฝ่ายตุลาการออกจากกัน หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายในกระทรวงยุติธรรมเนื่องจากกรณีละคอนพญาระกาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ ที่หมิ่นประมาท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ถึงขั้นต้องถวายบังคมลาออกจากราชการเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม —
- ตั้งสถานเสาวภา —
- ตั้งวชิรพยาบาล เมื่อ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยใช้ที่ดินที่ใช้สร้างสวนสาธารณะของอดีตผู้จัดการธนาคารสยามกัลมาจล ทุนจำกัด สินใช้ (ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)) ซึ่งได้นำมาชำระหนี้ซึ่งตนก่อไว้กับธนาคารสยามกัลมาจล ทุนจำกัด —
- จัดให้มีงานแสดงศิลปหัตถกรรมนักเรียนครั้งแรก
พ.ศ.๒๔๕๖
- ตราพระราชบัญญัติคลังออมสิน (ต่อมาคือ ธนาคารออมสิน) บังคับใช้เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ —
- แยกกรมรถไฟออกเป็นกรมรถไฟสายเหนือ และ กรมรถไฟสายใต้ ตามเงื่อนไขสัญญาการกู้เงิน ๔ ล้านปอนด์ เพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้เพื่อเชื่อมกับทางรถไฟของสหรัฐมลายู โดยให้นายหลุยส์ ไวเลอร์ ชาวปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมรถไฟสายเหนือต่อไป และได้แต่งตั้งนายเฮนรี่ กิตตินส์ ชาวอังกฤษ เป็นวิศวกรใหญ่ผู้ความคุมงานการสร้างทางรถไฟสายใต้ โดยรั้งตำแหน่งเจ้ากรมรถไฟสายใต้ เนื่องจากนายเฮนรี่เป็นชาวอังกฤษผู้ที่รักษาผลประโยชน์ให้รัฐบาลสยามได้ดี และ มีประสบการณ์ในการสร้างทางรถไฟแคนาดาไปฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก มาก่อนที่จะทำงานในกรมรถไฟหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕
- จัดตั้งกรมสหกรณ์ —
- เปิดกิจการวิทยุโทรเลข —
- สถาปนา บริษัทซีเมนต์สยามจำกัดสินใช้ เครือซีเมนต์ไทยเมื่อ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ —
- เปิดการไฟฟ้าหลวงสามเสน (ปัจจุบันคือ การไฟฟ้านครหลวงสำนักงานสามเสน) เพื่อแข่งขันกับโรงไฟฟ้าวัดเลียบของบริษัทไฟฟ้าสยามจำกัดสินใช้ ของชาวเดนมาร์ก—
- ประกาศใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชในราชการ —
- ตราพระราชบัญญัตินามสกุล แต่กว่าจะบังคับใช้ได้โดยสมบูรณ์กับราษฎรทุกคนก็เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไปแล้ว ในรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลแก่ผู้ขอพระราชทานกว่า ๖,๐๐๐ นามสกุล ดูรายละเอียดที่ http://www.amed.go.th/AboutUs/palace/sur_content.htm —
- เกิดภาวะวิกฤตทางการเงิน ปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เนื่องจากแบงค์จีนสยามทุนล้มละลาย ทำให้ฐานะทางการเงินของธนาคารสยามกัมมาจลและ บรรดาโรงสีข้าวตกอยู่ในภาวะคับขัน ด้วยเนื่องจาก
๑) เจ้าหน้าที่ของแบงค์จีนสยามทุนได้ยักย้ายเอาหนี้ไปใส่ในบัญชีของธนาคารสยามกัมมาจลและ ฉ้อโกงเอาทุนและกำไรของธนาคารธนาคารสยามกัมมาจลไปใส่แบงค์จีนสยามทุน และ ได้มีการเลี่ยงภาษีอีกด้วย ๒) แบงค์จีนสยามทุนจำกัด ได้ปล่อยกู้ให้โรงสีข้าวเป็นจำนวนมาก ถ้าฝนแล้ง ข้าวขาดแคลน โรงสีก็เสี่ยงกับธุรกิจตกต่ำ เมื่อแบงค์จีนสยามทุน ตกอยู่ในภาวะล้มละลาย เจ้าของโรงสีพากันขาดแห่งเงินกู้เพื่อดำเนินหรือฟื้นฟูกิจการต่อไปได้ —
พ.ศ. ๒๔๕๗
- ตั้งกองบินขึ้นในกองทัพบก เริ่มสร้างสนามบินดอนเมือง ซึ่งเปิดใช้งานเมื่อ ๘ มีนาคม ๒๔๕๗ —
- เปิดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ —
- ตั้ง วชิรพยาบาล
- เริ่มให้บริการน้ำประปา เมื่อ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ —
- ตั้งโรงเรียนพยาบาลของสภากาชาดไทย —
- ตั้งเนติบัณฑิตยสภา —
- มีพระบรมราชานุมัติให้กู้ยืมเงินเพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้ จากรัฐบาลสหรัฐมลายูเพิ่มอีก ๗๕๐,๐๐๐ ปอนด์ ตามคำกราบบังคมทูลของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ เนื่องจาก เงินกู้ ๔ ล้านปอนด์เพียงพอสำหรับทางรถไฟสายใต้ที่เชื่อมฝั่งตะวันตก ตามความต้องการของพ่อค้าจีน พ่อค้าแขกเมืองปีนังเท่านั้น แต่ไม่พอสำหรับทางรถไฟผ่านมณฑลปัตตานีไปเชื่อมทางรถไฟที่ฝั่งกลันตัน —
พ.ศ. ๒๔๕๘
- เสด็จฯ เยือนหัวเมืองปักษ์ใต้ ครั้งแรกหลังจากเสวยราชย์ แม้ทางรถไฟสายใต้ยังไม่เชื่อมต่อกันสมบูรณ์ —
- เริ่มการสร้างสะพาน ๒ หอ (สะพานปางยางใต้)สะพาน ๓ หอ (สะพานปางยางเหนือ)และสะพาน ๕ หอ (สะพานปางหละ) หลังจากได้รับสะพานหอสูงซึ่งเป็นเครื่องเหล็กจากปรัสเซีย —
พ.ศ. ๒๔๕๙
- เลิกหวย ก.ข. เมื่อ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๙ —
- ทดลองจัดตั้งสหกรณ์เป็นแห่งแรก ที่ วัดจันทร์ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๙ —
- ทางรถไฟสายใต้เชื่อมกันตลอด ที่ชุมพร —
- เปิดสถานีรถไฟหลวงกรุงเทพ ที่หัวลำโพง เมื่อ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๕๙ หลังจากที่ดำเนินการขยายสถานีกรุงเทพตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๓ —
- สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ (นับอย่างใหม่ต้องเข้าปี พ.ศ. ๒๔๖๐)
พ.ศ. ๒๔๖๐
- แต่งตั้งกรมหลวงกำแพงเพชรอัครโยธินขึ้นเป็นเจ้ากรมรถไฟหลวง เมื่อ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ แทนเจ้ากรม หลุยส์ ไวเลอร์ ชาวปรัสเซีย เพื่อจัดการรวมกรมรถไฟหลวงสายเหนือ และ กรมรถไฟหลวงสายใต้เข้าด้วยกัน และ เพื่อกำจัดอิทธิพลเยอร์มันออกไปด้วย
- ประกาศสงครามกับเยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ มีการ ปลดเจ้าหน้าที่ชสวปรัสเซียและออสเตรียออกจากตำแหน่ง ทั้งในกรมรถไฟและในธนาคารสยามกัมมาจล พร้อมสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชนชาติศัตรู ซึ่งกว่าจะถอนออกได้ก็ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ —
- เกิดเหตุน้ำท่วมปีมะเส็ง ทางรถไฟขาดหลายช่วง ต้องหยุดการเดินรถ ๔ - ๕๗ วัน
- เสด็จฯ เยือนหัวเมืองปักษ์ใต้ ครั้งที่ ๒ —
- เปลี่ยนธงชาติ จากธงช้างเผือกมาเป็นธงไตรรงค์ —
- ตั้งกรมมหาวิทยาลัย —
- เลิกการพนันบ่อนเบี้ย —
- เปลี่ยนแปลงการนับเวลาให้สอดคล้องกับสากล คือใช้คำว่า ก่อนเที่ยง (ก.ท. - AM) และหลังเที่ยง (ล.ท. - PM) —
- แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหาร —
- กำหนดคำนำหน้านามสตรี จากอำแดงเป็นนางและ นางสาวตามธรรมเนียมสากล —
- ออก พระราชบัญญัติห้ามส่งเงินแท่งและเหรียญบาทออกนอกประเทศ เนื่องจากเนื้อเงินแพงกว่าหน้าเหรียญทำให้มีคนหากำไรโดยการลักลอบหลอมเหรียญบาทเป็นเงินแท่งส่งไปขายเมือง จนต้องลดความบริสุทธิ์เนื้อเงินจาก เงิน ๙๐ ทองแดง ๑๐ เป็น เงิน ๕๐ ทองแดง ๕๐ แม้ที่สุดจะแก้เป็น เงิน ๖๕ ทองแดง ๓๕
- รถไฟหลวงไปถึงสถานี นาประดู่ (สถานีสำคัญระหว่างจังหวัดปัตตานีและยะลา)
พ.ศ. ๒๔๖๑
- ตั้งดุสิตธานี ทดลองการปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย พร้อมอกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต และ ดุสิตสมัย—
- ตราธรรมนูญลักษณะการปกครองคณะนคราภิบาล —
- ตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ ฉบับแรก —
- ตั้งกรมสาธารณสุข —
- ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในยุโรป เมื่อได้รับชัยชนะจึงเป็นเหตุให้สยามมีอำนาจเจรจาต่อรองขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ได้ทำไว้แต่รัชกาลก่อนๆ ได้ —
- อุโมงค์ขุนตานทะลุถึงกันสำเร็จ
- เริ่มใช้ธนบัตร ๑ บาท ตราครุฑ แทนการใช้เหรียญกษาปณ์เงิน ๑ บาท ที่ถูกยกเลิกไม่ให้ใช้เป็นที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย —
- รถไฟหลวงสายใต้ เปิดเดินได้ถึงปาดังเบซาร์ เมื่อ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ โดยให้กรมรถไฟสหพันธรัฐมลายูเป็นผู้รับผิดชอบเนื่องจากสถานีปาดังเบซาร์อยู่ในเขตแดนมลายู (ห่างจากหลักเขตกรุงสยามไปทางใต้ประมาณ ๓๐๐ เมตร) แล้วให้แบ่งรายได้และค่าใช้จ่ายกับกรมรถไฟหลวง ครึ่งหนึ่ง
พ.ศ.๒๔๖๒
- วางระเบียบการเรียกเก็บเงินรัชชูปการ ซึ่งเป็นการเสียเงินปีละ ๖ บาท ในยุคที่ข้าวสารถังละ ๕๐ สตางค์ ซึ่งถ้าเสียรัชชูปการแล้วก็จะมีการออกตั๋วสีเหลืองขนาดเท่าตั๋วจำนำ พิมพ์คำว่า "๖ บาท" ตัวโตๆ ถ้าไม่เสียรัชชูปการ (หรือเสียค่าตั๋วส่วย) ก็โดนส่งไปทำงานโยธา พวกที่ต้องยกเว้นไม่ต้องเสียรัชชูปการคือ พวกเจ้านายตั้งแต่ระดับพระองค์เจ้าขึ้นไป ทหารตำรวจ และประชาชนที่ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้ว —
- เริ่มการใช้เวลามาตรฐาน (+๗ ชั่วโมงเมื่อที่ยบกับเวลามาตรฐานกรีนิช) —
- เกิดภาวะฝนแล้ง ทำให้ข้าวตายเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นต้องขุดหัวมัน หัวเผือก หัวกลอยและ เก็บขุยไผ่ (เมล็ดต้นไผ่ที่ร่วงมาเมื่อไผ่ออกดอกก่อนจะแห้งตาย) กินประทังชีวิต จนรัฐบาลต้องประกาศ พระราชกำหนดห้ามการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ ซึ่งจะยกเว้นเฉพาะข้าวที่ได้มีการทำสัญญาการซื้อขายไว้ก่อนหน้าการประกาศพระราชกำหนด —
- ทหารไทยได้รับชัยชนะกลับจากงานพระราชสงครามในทวีปยุโรป —
- สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต ณ วังพญาไท เมื่อ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ —
พ.ศ. ๒๔๖๓
- แก้ไขสนธิสัญญาใหม่กับสหรัฐอเมริกาสำเร็จเป็นประเทศแรก —
- เปิดการขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศระหว่าง กรุงเทพ-นครราชสีมา —
- สตรีในพระราชสำนัก เริ่มนุ่งซิ่น ไว้ผมยาว —
- รถไฟหลวงสายใต้ เปิดเดินได้ถึงตันหยงมัส (สถานีซึ่งอยู่ระหว่างเมือง นราธิวาสเก่าที่ระแงะและ นราธิวาสใหม่ที่บางนรา) —
- ตั้งกระทรวงพาณิชย์เพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากฝนแล้งปี พ.ศ. ๒๔๖๒ โดยโปรดฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงจันทบุรีนฤนาถ ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท เป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์—
- สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอผู้ทรงเป็นพระรัชทายาท (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) เสด็จทิวงคตจากอาการไข้หวัดใหญ่ ขณะเสด็จไปประทับพักผ่อนพระวรกายที่สิงคโปร์ เมื่อ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๓ เวลา ๑๓ นาฬิกา ๕๐ นาที หลังออกจากเสด็จจากกรุงสยามเมื่อ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๓ ต่อมาได้เชิญพระศพกลับกรุงสยามด้วยรถไฟขบวนพิเศษ —
- พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (บิดาแห่งกฎหมายไทย)สิ้นพระชนม์ ด้วยโรควัณโรคที่พระวักกะ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ หลังทรงพระประชวร ทรงระบุว่ามีพระอาการปวดพระเศียรขั้นคิดอะไรไม่ออก มาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้จัดการถวายพระเพลิงพระศพที่กรุงปารีสแล้วเชิญพระอัฐิกลับกรุงสยามในเวลาต่อมา —
พ.ศ. ๒๔๖๔
- ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ฉบับแรก บังคับใช้ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ —
- กำหนดคำนำหน้านาม เด็ก เป็นเด็กชาย เด็กหญิง —
- รถไฟหลวงสายใต้ เปิดเดินได้ถึงสุไหงโกลก เมื่อ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๔ โดยให้กรมรถไฟหลวงเป็นผู้รับผิดชอบเนื่องจากสถานีสุไหงโกลกอยู่ในเขตแดนสยาม (ห่างจากหลักเขตกรุงสยามริมฝั่งแม่น้ำโก-ลกประมาณ ๑๓๐๐ เมตร) แล้วให้แบ่งรายได้และค่าใช้จ่ายกับกรมรถไฟสหรัฐมลายู ครึ่งหนึ่งตามข้อกำหนดในสนธิสัญญา—
- รถไฟหลวงสายเหนือ เปิดเดินได้ถึงเชียงใหม่ เมื่อ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๔ (นับอย่างใหม่ต้อง พ.ศ. ๒๔๖๕)—
- สภากาชาดไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตสภากาชาด
พ.ศ. ๒๔๖๕
- ตราข้อบังคับลักษณะการปกครองหัวเมือง ชั่วคราว ซึ่งมีผลทำให้ยุบกระทรวงนครบาลเข้ากับกระทรวงมหาดไทย แล้วแปรสภาพกระทรวงนครบาลเป็น มณฑลกรุงเทพ (หรือกรุงเทพมหานคร) ซึ่งประกอบด้วย พระนคร ธนบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร พระประแดง และ สมุทรปราการ—
- สถาปนากรมตำรวจเมื่อ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕
- เปิดสถานเสาวภา —
- เริ่มสร้างสะพานพระรามหก เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ โดยบริษัทไดเดย์จากฝรั่งเศสเป็นผู้รับเหมา
- เริ่มเดินรถด่วนเชียงใหม่และ รถด่วนระหว่างประเทศ
พ.ศ. ๒๔๖๖
- ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ครั้งแรก —
- ตั้งสถานีอนามัย —
- ให้กรมหลวงกำแพงเพชอัครโยธินและพระชายาเสด็จไปวางหีบพระฤกษ์สร้างสะพานพระราม ๖ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖
- เปิดสายการบิน นครราชสีมา-ร้อยเอ็ด-อุดร-หนองคาย —
- แก้ไขสนธิสัญญาใหม่กับญี่ปุ่นสำเร็จเป็นประเทศที่ ๒ —
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ สิ้นพระชนม์
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิ้นพระชนม์ ที่ตำหนัก ณ หาดทรายรี จังหวัดชุมพร เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ —
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ผู้บัญชาการโรงเรียนเพาะช่าง(ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเพาะช่าง วัดเลียบ) และเป็นผู้ชำนาญการในการทรงฮาร์พ (พิณฝรั่ง) คนแรกในกรุงสยาม เสด็จทิวงคต ณ วังเพชรบูรณ์ (ปัจจุบันคือเซนทรัลเวิร์ด) เมื่อ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ -
พ.ศ. ๒๔๖๗
- เสด็จเยือนสหรัฐมลายูและสิงค์โปร์โดยทางรถไฟพร้อมด้วยเจ้าจอมสุวัทนา (ต่อมาคือพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี) —
- ส่งคณะทูตพิเศษนำโดยพระยากัลยาณไมตรีไปเจรจาแก้ไขสนธิสัญญากับนานาชาติ —
- ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ —
- เกิดอุบัติเหตุขณะก่อสร้างสะพานพระราม ๖ ถังเคซองทำฐานราก ลอยออกมานอกเป้าหมาย ทำให้ต้องกู้ถังเคซองที่จมผิดที่ก่อนจะลงถังเคซองที่ใช้ทำฐานรากสะพานใหม่ —
- พระราชทานอภัยโทษให้ปล่อยนักโทษคดีกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ที่ต้องคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๗—
- โปรดฯ ให้จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จเปิดทางรถไฟจาก ฉะเชิงเทรา (สถานีแปดริ้วใหม่ - กม. ๖๑) ถึงสถานีกบินทร์บุรี เมื่อ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ (นับอย่างใหม่ พ.ศ. ๒๔๖๘) —
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของวังสวนกุหลาบเสด็จทิวงคตด้วยอาการปัปผาสะบวม เมื่อ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ (นับอย่างใหม่ต้อง พ.ศ. ๒๔๖๘) —
พ.ศ. ๒๔๖๘
- แก้ไขสัญญากับประเทศในภาคพื้นยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสสำเร็จแม้จะมีอุปสรรคคือ มีการฆาตกรรมภรรยาท่านทูตฝรั่งเศสประจำกรุงสยามขณะดำเนินการเจรจา —
- มีพระราชพินัยกรรม
- พระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย (พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช) ถูกตัดออกจากสายการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช มีพระมารดาผู้ไม่เป็นที่พึงเคารพ —
- หากพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ซึ่งทรงพระครรภ์อยู่ ประสูติพระราชโอรส ก็ให้พระราชโอรสได้สืบราชสมบัติต่อไป แต่ถ้าไม่มีพระราชโอรสก็มีพระราชประสงค์ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ทรงรับเป็นรัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤดาภินิหาร กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (ต้นราชสกุล กฤดากร) ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน สิ้นพระชนม์ที่วังมะลิวัลย์ (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของสำนักงานองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(Food and Agriculture Organization of the United Nations - FAO)) เมื่อ วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๘
- ขยายเส้นทางรถรางจากยศเส ผ่านถนนพระราม ๑ ไป ประตูน้ำ, จากแยกบางรักไป ประตูน้ำ โดยผ่านถนนสีลมและถนนราชดำริ โดยการแก้เส้นทางสายดุสิตให้สั้นเข้าแล้วนำรางมีร่องไปสร้างทางสายยศเส สายสีลม และ สายราชดำริ เพื่อรองรับงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ที่จะจัดขึ้นที่ทุ่งศาลาแดง (สวนลุมพินี)ในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๖๘ —
- เกิดพายุหมุน ทำลายสิ่งก่อสร้างในทุ่งศาลาแดงที่จะเป็นอาคารประกอบงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ - คล้ายเป็นลางร้ายที่จะต้องผลัดแผ่นดิน —
- วันอังคารที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในรัชกาลที่ ๖
- เสด็จสวรรคต เมื่อเวลา ๗ ทุ่ม ๔๕ นาที (๑ นาฬิกา ๔๕ นาที) ของวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘ หลังจากที่ทรงพระประชวรด้วยอาการพระอันตะ (ลำไส้) ทะลุ จากแผลผ่าตัดพระนาภีที่เกิดอาการอักเสบขั้นทะลุบริเวณพระนาภี (ผิวหนังหน้าท้อง)อย่างกระทันหัน —
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตในรัชกาลที่ ๖ และทรงกำหนดให้วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน เป็นวันคล้ายวันเถลิงราชย์ของพระองค์
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร และใต้ฐาน พระร่วงโรจนฤทธิ์ ณ พระวิหารด้านทิศเหนือ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] เว็บไซต์อื่น
รัชสมัยก่อนหน้า: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระมหากษัตริย์ไทย ราชวงศ์จักรี พ.ศ. 2453 – 2468 |
รัชสมัยถัดไป: พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
สมัยก่อนหน้า: สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร |
สยามมกุฎราชกุมาร (สมัยที่ {{{สมัยที่}}}) พ.ศ. 2437-2453 |
สมัยถัดไป: สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร |